LOTUS เปิดตัว LOTUS ELETRE ไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ ตอบโจทย์การขับขี่แนวไลฟ์สไตล์ด้วยสมรรถนะเร็วแรงสุดเร้าใจ พร้อมฟีเจอร์ความสะดวกสบายที่เหนือระดับ
พัฒนาการครั้งสำคัญของแบรนด์สปอร์ตคาร์ที่ยืนหยัดมานานกว่า 75ปี
สู่ไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้าแนวไลฟ์สไตล์รุ่นแรกผสานประสิทธิภาพสุดล้ำเข้ากับฟังก์ชันในชีวิตประจำวัน
เพื่อการรังสรรค์ตำนานบทใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ
กรุงเทพฯ22 กันยายน 2566–โลตัส (LOTUS) แบรนด์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่ยืดหยัดอยู่แถวหน้าของโลกมานานกว่า75ปีพร้อมเปิดศักราชใหม่สู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เปิดตัว“Lotus Eletre” (โลตัสอีเลททร้า)ไฮเปอร์เอสยูวีไฟฟ้าแนวไลฟ์สไตล์รุ่นแรกของแบรนด์ตอบโจทย์ลูกค้ารุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสมรรถนะพร้อมการขับขี่ระดับเวิลด์คลาสและดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่น โดย Lotus Eletreพร้อมมอบประสบการณ์การเดินทางในแบบฉบับของโลตัสอย่างแท้จริง โดยผสานไดนามิกการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจเข้ากับฟังก์ชันการใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Eletre ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นสุดยอดยานยนต์พลังงานไฟฟ้า100% รุ่นแรกและรุ่นสำคัญที่สุดของโลตัสซึ่งเกิดจากการหลอมรวมมรดกความเชี่ยวชาญอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นำจิตวิญญาณของสปอร์ตคาร์รุ่นล่าสุดอย่างEmiraมาผสานกับเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์อันล้ำสมัยของไฮเปอร์คาร์รไฟฟ้า 100%ในรุ่นEvijaเพื่อสร้างสรรค์เป็นไฮเปอร์เอสยูวีรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิด“เกิดในอังกฤษ ผงาดสู่ระดับโลก”โดย Eletreเป็นความร่วมมือระดับนานาชาติผ่านการวิจัยและพัฒนาโดยทีมวิศวกรทั้งในสหราชอาณาจักรเยอรมนีและจีนซึ่งจะวางจำหน่าย2 รุ่นได้แก่Eletre S และEletre R เปิดปรากฏการณ์ไฮเปอร์เอสยูวีระบบไฟฟ้าโดยสมบูรณ์ ผ่านการนำประสบการณ์การขับขี่มาตีความใหม่เพื่อมอบความเป็นเลิศทั้งระบบกันสะเทือนและเทคโนโลยีโครงแชสซี สมรรถนะการขับขี่ การควบคุมและประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์อันยอดเยี่ยม
ฟีเจอร์มาตรฐานของLotus Eletreจะประกอบด้วยระบบถุงลมกันสะเทือนแบบแอ็กทีฟ, ระบบควบคุมการหน่วงต่อเนื่อง, ระบบแรงบิดเวกเตอร์, ระบบLotus Intelligent Dynamic Chassis Control, ล้อขึ้นรูปขนาด23 นิ้วแบบ5ก้านพร้อมเคลือบผิวแบบDiamond-turned (รุ่นมาตรฐานในตลาดเมืองไทยจะใช้ล้อขนาด22 นิ้วแบบ5 ก้าน), ไฟหน้าMatrix LED, ระบบAdaptive Cruise Control, ระบบVisual Park Assist, ระบบปรับอากาศ4 โซน, เบาะนั่งคู่หน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า12 ทิศทาง, เทคโนโลยีแสดงผลบนกระจกหน้ารถแบบHead-up Display, ระบบApple CarplayและAndroid Auto แบบไร้สายรวมถึงระบบเสียงKEF Premium Audio 1,380W 15 ลำโพงเพื่อตอบโจทย์ความบันเทิงในทุกๆการเดินทาง
Eletre S: ตอบโจทย์ความหรูหราเพื่อไลฟต์สไตล์ที่แตกต่าง
นอกจากระบบมาตรฐานยังครบครันด้วยฟีเจอร์อื่น ๆ อาทิการปิดประตูแบบนุ่มนวล, กระจกเคลือบดำเพิ่มความเป็นส่วนตัว, สปอยเลอร์หลังแบบแอ็กทีฟ, ระบบไฟตกแต่งในห้องโดยสารที่ตั้งค่าได้, กาบประตูเรืองแสง, ระบบควบคุมคุณภาพอากาศ, ระบบเสียงKEF Reference 2,160 วัตต์23 ลำโพงและล้อขึ้นรูปขนาด22นิ้วแบบ10ก้านในเฉดสีเทาพร้อมทำผิวแบบDiamond-turned
Eletre R: รุ่นแฟล็กชิฟที่เน้นประสิทธิภาพและการขับขี่ที่เร้าใจ
ติดตั้งLotus Dynamic Handling Pack (ประกอบด้วยIntelligent Active Roll Control และActive Rear Steering) แพ็กเกจชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์Carbon Pack, ยางสมรรถนะสูงรุ่นPirelli P Zero และการเคลือบสีล้อโทนดำเงาพร้อมเพิ่มโหมดการขับขี่แบบที่6 คือTrack Mode สำหรับสนามแข่ง ซึ่งจากการทดสอบสมรรถนะสุดโหด ซึ่งรวมถึงที่สนาม Nürburgring ปรากฏว่า Eletre R คือเอสยูวีระบบไฟฟ้า100% แบบสองมอเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกณเวลานี้สามารถทำอัตราเร่ง0-100 กม./ชม. (0-62 ไมล์/ชม.) ในเวลาไม่ถึง3 วินาทีส่วนระบบชาร์จก็เร็วแรงไม่แพ้กัน โดยชาร์จไฟจาก10-80% ในเวลาเพียง20 นาทีหรือชาร์จเพียง5 นาทีก็สามารถวิ่งได้ไกลถึง120 กม. (ราว 74 ไมล์) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวที่มอบแรงฉุดได้อย่างฉับไวบวกกับประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนสี่ ทำให้ Eletre R มีแรงลากสูงถึง 2,250 กก.นอกจากนี้ยังมีจอแสดงผลแบบHead-up Display ขนาด29 นิ้วในรูปแบบจอเสมือนบนกระจกหน้าที่ฉายกราฟิกซ้อนทับมุมมองด้านหน้าทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องละสายตาจากถนนในขณะดูข้อมูลในขณะที่ชุดเซ็นเซอร์ยังสามารถอัปเดตได้แบบOver-the-air (OTA) เพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่ระบบอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุดอยู่เสมอ ส่วนลูกค้าในโซนยุโรปและสหราชอาณาจักรจะได้ใช้ฟีเจอร์ความปลอดภัยมากกว่าและการรับประกันที่ครอบคลุมให้เป็นบริการมาตรฐาน
ลูกค้าของ Eletreทุกรุ่นยังสามารถเลือกแต่งรถให้สะท้อนถึงตัวตนได้ตรงใจ ด้วยออฟชั่นการตกแต่งมากมาย ซึ่งรวมถึงชุดเบาะนั่ง Executive Seat Pack, ชุดเบาะนั่ง Comfort Seat Pack, อุปกรณ์เสริมคาร์บอนไฟเบอร์, ชุดตกแต่งภายในด้วยคาร์บอนไฟเบอร์, Parking Pack, และ Highway Assist Pack และอีกมากมาย โดยลูกค้ายังสามารถเลือกเฉพาะออปชั่นที่ต้องการจากแต่ละแพ็กเกจได้รวมถึงเฉดสีและรูปแบบการตกแต่งภายในที่มีให้เลือกหลากหลายสไตล์อย่างไม่จำกัด โดยเวิร์นส์ ออโตโมทีฟ ประเทศไทย เปิดรับออเดอร์รุ่น Eletre S ราคา 5,890,000 และ Eletre R ราคา 6,590,000 บาท กำหนดเริ่มส่งมอบรถตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2024 เป็นต้นไป
นายธีรพงศ์รอดลอยผู้จัดการส่วนภูมิภาคบริษัทเวิร์นส์ออโตโมทีฟประเทศไทยกล่าวว่า ในฐานะตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์โลตัสอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยบริษัทเวิร์นส์ออโตโมทีฟรู้สึกยินดีที่ได้นำเสนอEletre สุดยอดไฮเปอร์เอสยูวีสู่นักขับชาวไทยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการยานยนต์สมรรถนะสูงที่ใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์มากขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งการขับขี่ในชีวิตประจำวันและการเดินทางพักผ่อนในวันหยุด โดยยังคงมอบสมรรถนะการขับขี่ขั้นสุดและประสบการณ์สุดเร้าใจเสมือนกำลังพุ่งทะยานในสนามแข่งไปพร้อมกัน หากสิ่งที่แตกต่างคือความสะดวกสบายที่เหนือกว่าด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ อินโฟเทนเมนต์และการเชื่อมต่อออนไลน์ที่คนยุคใหม่ต้องการทำให้เราเชื่อมั่นว่าEletre จะเป็นเอสยูวีอีกหนึ่งรุ่นที่ครองใจลูกค้าโลตัสและนักขับในเมืองไทยอย่างแน่นอน”
Lotus Eletreมอบประสิทธิภาพทั้งในด้านความคล่องตัวการควบคุมและความสะดวกสบาย บวกฟีเจอร์ขั้นสูงเช่นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อระบบควบคุมป้องกันการพลิกคว่ำและเวกเตอร์แรงบิดระบบควบคุมโครงแชสซีรวมแบบ6D ช่วยเพิ่มความมั่นใจถึงประสบการณ์การขับขี่แบบไดนามิกนอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบกันสะเทือนอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาแบบมัลติลิงก์พร้อมสปริงลมdual-chamber และระบบหน่วงกันสะเทือนแบบอิเล็กทรอนิกส์ผันแปรเพื่อมอบการตอบสนองที่ฉับไวในขณะขับขี่ระบบบังคับเลี้ยวกลไกไฟฟ้าและระบบบังคับเลี้ยวล้อหลังแบบแอ็กทีฟเพิ่มการควบคุมที่แม่นยำและด้วยโหมดการขับขี่ที่แตกต่างและยางPirelli สมรรถนะสูง จึงทำให้นักขับสามารถปรับแต่งรูปแบบการขับขี่ได้ดังใจในส่วนของระบบเบรกนำเสนอตัวเลือกคาลิเปอร์หกลูกสูบและเบรกคาร์บอนเซรามิกเพิ่มเติม
Eletreได้รับการออกแบบให้มีคุณภาพการขับขี่และความคล่องตัวตามมาตรฐานระดับสูงของโลตัสสร้างขึ้นบนโครงสร้างแบบโมดูลาร์Electric Premium Architecture (EPA) เอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ ซึ่งแพลตฟอร์มนี้จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างมากทั้งจากการสร้างจุดศูนย์ถ่วงต่ำโดยวางแบตเตอรี่ไว้ระหว่างเพลาและใต้ท้องรถการใช้วัสดุขั้นสูงยังทำให้โครงแชสซีมีน้ำหนักเบาและแข็งแกร่งซึ่งเป็นแบบฉบับของยานยนต์โลตัสส่วนประกอบหลักอื่น ๆ ทำจากอลูมิเนียมอัลลอยด์เพื่อช่วยลดน้ำหนักโดยคิดเป็น43% ของแพลตฟอร์มและ50.7% ของโครงสร้างตัวถังทั้งหมดสิ่งเหล่านี้ยังได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วยเหล็กกล้ากำลังสูงและวัสดุคอมโพสิตน้ำหนักเบาเพื่อเพิ่มความทนทานและความยืดหยุ่นหากเกิดการชนผลลัพธ์ที่ได้คือรถยนต์ที่เปี่ยมด้วยสมรรถนะความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เป็นเลิศในทุกสภาวะ
เหนือระดับทั้งพละกำลัง สมรรถนะ และประสิทธิภาพการขับขี่
Eletreคือไฮเปอร์เอสยูวีที่ผสานสมรรถนะขั้นสูงเข้ากับประสิทธิภาพด้านพลังงานได้อย่างลงตัวเหมาะทั้งสำหรับการขับขี่ทางไกลและการใช้งานในชีวิตประจำวันแบตเตอรี่ขนาด800โวลต์112kWh สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วและเต็มประสิทธิภาพทั้งยังมีระบบจัดการความร้อนที่ดีเยี่ยมเพื่อมอบประสิทธิภาพการขับขี่สูงสุดในทุกสภาวะรถยนต์รุ่นนี้ยังใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นรุ่นแรกของโลตัส ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาและอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ขั้นสูงโดย Eletreรุ่นพื้นฐานมีกำลังเครื่อง603 แรงม้าอัตราเร่ง0-100 กม./ชม. ในเวลา4.5วินาทีและวิ่งได้ระยะทาง600กม. ในขณะที่Eletre R ให้กำลังสูงสุด905แรงม้าและวิ่งได้ระยะทาง490กม. โดยมีระบบชาร์จพลังงานกลับคืนในขณะเบรกซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับระดับการประจุพลังงานได้ตามต้องการเอสยูวีรุ่นนี้ยังมีกำลังลากสูงถึง2,250 กิโลกรัมและพื้นที่จัดเก็บสัมภาระเพิ่มเติมมอบสมดุลทั้งความหรูหราสง่างามและฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกสบาย
รูปทรงและฟังก์ชัน เทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์และค็อกพิตระบบดิจิทัล
การออกแบบอันล้ำสมัยของEletre เพิ่มสุนทรียศาสตร์ให้กับไฮเปอร์เอสยูวีที่วางตำแหน่งเครื่องยนต์กลางตัวรถด้วยหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงที่ได้แรงบันดาลใจจากรุ่นEvijaและEmiraพร้อมค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน0.26 ผสานการติดตั้งกระจังหน้าแอ็กทีฟแบบปรับแต่งได้เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของอากาศที่เหมาะสมซึ่งจะเปิดขึ้นเมื่อขับขี่แบบTrack Mode เพื่อมอบสมรรถนะสูงสุดกระจกมองหลังแบบจอแสดงผลระบบไฟฟ้าถูกติดตั้งแทนที่กระจกแบบเดิมเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยและลดแรงต้านลมได้1.5% ทั้งยังเพิ่มระยะการมองเห็นให้กว้างขึ้น ส่วนเซ็นเซอร์LIDAR แบบพับเก็บได้และยังมอบระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงในขณะที่สปอยเลอร์หลังจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งไปตามสภาพการขับขี่โดยอัตโนมัติซึ่งจะช่วยลดแรงต้านได้มากถึง1.8%
ห้องโดยสารที่หรูหราล้ำสมัยของEletreนำเสนอ“ค็อกพิตระบบดิจิทัล (Digital Cockpit)”ติดตั้งชิปเซ็ตQualcomm อันทรงพลังและระบบปฏิบัติการLotus Hyper OS พร้อมระบบการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ5G และการอัปเดตผ่านOTA นอกจากนี้ ยังมีระบบการสั่งงานด้วยเสียงและหน้าจอOLED ติดตั้งหลายตำแหน่งเพื่อให้สามารถใช้งานระบบนำทางขั้นสูงการชาร์จไร้สายและคุณสมบัติด้านความปลอดภัยได้อย่างง่ายดายห้องโดยสารยังมีระบบเสียงKEF คุณภาพสูงที่มาพร้อมDolby Atmos และแอปพลิเคชันเพื่อการควบคุมระยะไกลการออกแบบองค์ประกอบอื่น ๆ ยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและประหยัดพลังงานอาทิหลังคาพาโนรามาอัจฉริยะเป็นต้น
นอกจากนี้Eletre ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยและความสะดวกสบายขั้นสูงรวมถึงเซ็นเซอร์34 ตำแหน่งและชิปเซ็ตNVIDIA Orin-X จำนวน 2 ตัวเพื่อสนับสนุนการขับขี่อัตโนมัติแบบ Level 4 ส่วนฟีเจอร์ Highway Assist ทำให้การขับขี่ทางไกลง่ายดายขึ้นโดยจะช่วยบริหารความเร็วและจัดตำแหน่งรถยนต์ในช่องทางเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วระหว่าง 30-150 กม./ชม. ระบบ Driver Monitoring System จะแจ้งเตือนหากผู้ขับขี่เกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิในขณะที่ระบบLife Detection and Care จะช่วยป้องกันการปล่อยเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถเมื่ออากาศร้อนจัดไปจนถึงการแจ้งเตือนหน่วยงานฉุกเฉินหากเกิดเหตุจำเป็น
มอบภาพลักษณ์ที่สง่างาม พร้อมห้องโดยสารที่หรูหราสะดวกสบาย
รูปลักษณ์ภายนอกของ Eletreมอบความโดดเด่นด้วยดีไซน์ส่วนหน้าที่ให้ความรู้สึกพุ่งทะยานระยะฐานล้อยาวและมีชิ้นส่วนยื่นออกนอกตัวรถน้อยที่สุดเพื่อสร้างภาพลักษณ์รถสปอร์ตน้ำหนักเบาที่สมบูรณ์แบบชูลักษณะเด่นของการออกแบบอย่าง“การสร้างช่องเปิด”เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศที่ยอดเยี่ยมและแรงต้านที่น้อยลงโดยองค์ประกอบต่างๆเช่นช่องระบายอากาศบนฝากระโปรงหน้าและซุ้มล้อยังช่วยยกระดับทั้งสมรรถนะและระยะทางดีไซน์ด้านหน้าดูสวยโฉบเฉี่ยวด้วยไฟLED กระจังหน้าแบบแอ็กทีฟและระบบเซ็นเซอร์LIDAR ที่ถูกวางตำแหน่งอย่างประณีตเช่นเดียวกับรถรุ่นคลาสสิกของโลตัสอย่างEmiraและEvijaส่วนโปรไฟล์ด้านข้างมีลักษณะโค้งมนตามหลักอากาศพลศาสตร์พร้อมติดตั้งกระจกบังลมสูงและ“air blade”แบบพิเศษบนโครงสร้างD-pillarดีไซน์ด้านหลังสวยงามด้วยแถบไฟที่ยาวตลอดความกว้างซึ่งจะเปลี่ยนสีเพื่อระบุสถานะการชาร์จแบตเตอรี่พร้อมด้วยสปอยเลอร์หลังคาคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีรูปทรงโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นจุดติดตั้งเซ็นเซอร์LIDAR อีกตัวหนึ่งด้วย
ห้องโดยสารภายในของEletreมีการออกแบบที่นั่งคนขับให้เป็นศูนย์กลางการควบคุมพร้อมคอนโซลทรงสูงโดยใช้วัสดุเกรดพรีเมียมและนำเสนอ Optionlayout แบบ4 ที่นั่งส่วนหลังคาพาโนรามาช่วยให้ห้องโดยสารแลดูสว่างขึ้นรวมถึงมีการนำดีไซน์รูปสามเหลี่ยมมาใช้ในองค์ประกอบต่าง ๆ ได้อย่างสวยงามล้ำสมัยภายในยังมีฟีเจอร์สุดล้ำอีกมากมาย อาทิ ระบบชาร์จไร้สายที่วางแก้วแบบพับซ่อนได้และช่องเก็บสัมภาระข้างประตูขนาดใหญ่และเนื่องจากโลตัสกำหนดให้ความยั่งยืนเป็นกุญแจสำคัญของยานยนต์รุ่นนี้ จึงนำเสนอOption เบาะที่นั่งทั้งแบบเส้นใยRe-Fibreที่รีไซเคิลจากขยะแฟชั่นและพรมEconylที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้100%
เมื่อโลตัสประกาศให้รุ่น Emiraเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์สันดาปรุ่นสุดท้ายของแบรนด์จึงทำให้Eletreในฐานะไฮเปอร์เอสยูวีระบบไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแท้จริง เพราะโลตัสยืนหนึ่งมาตลอดในด้านนวัตกรรมเทคนิคเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงและระบบยานยนต์น้ำหนักเบาในการสร้างสรรค์รถยนต์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่และการควบคุมที่เป็นเลิศ ซึ่ง LotusEletreคืออีกหนึ่งความภาคภูมิใจในการสืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน พร้อมการพัฒนาไปอีกขั้นในด้านความอเนกประสงค์และการใช้งานเพื่อสร้างความมั่นใจว่าแบรนด์โลตัสจะสามารถดึงดูดนักขับทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน
หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อผ่าน LINE OFFICIAL: @LOTUSCARSTH
###