สสว. เผยดัชนี SMESI เดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.0 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงส่งผลต่อภาคการบริการ และภาคการค้าเป็นหลัก
ขณะที่ภาคการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการผลิตเพื่อเตรียมรองรับ และชดเชยวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงระดับความเชื่อมั่น ภาคธุรกิจการเกษตรปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 3 ปี จากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนมีนาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 53.0 ซึ่งปรับตัวลดลงจากระดับ 53.7 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า และเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2สาเหตุมาจากคำสั่งซื้อและกำไรในภาคการค้าและภาคการบริการที่ชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและปัจจัยด้านกำลังซื้อ ในขณะที่ภาคการผลิตมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมรองรับและชดเชยวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงภาคธุรกิจการเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาตามดัชนีองค์ประกอบ เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ด้านกำไร คำสั่งซื้อโดยรวม และการลงทุนโดยรวม อยู่ที่ระดับ 54.8 59.9 และ 52.3 ลดลงมาจากระดับ 58.8 63.8 และ 52.3 ขณะที่ด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ อยู่ที่ระะดับ 40.7 และ 59.9 ปรับเพิ่มขึ้นจากระดับ37.7 และ 59.2 สำหรับองค์ประกอบด้านการจ้างงานค่อนข้างทรงตัวอยู่ที่ระดับ 50.6
ดัชนี SMESI รายสาขาธุรกิจ พบว่า ภาคการบริการและภาคการค้าอยู่ที่ระดับ 52.8 และ 51.9 ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 55.0 และ 53.3 เนื่องจากกำลังเผชิญกับปัจจัยกำลังซื้อและภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคทั้งกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภคและสินค้าฟุ่มเฟือย หลายรายการ อีกทั้งเป็นช่วงชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศทำให้สาขาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการท่องเที่ยว กิจกรรมการบริการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มลดลง ในทางกลับกันภาคการผลิตและภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 54.2 และ 57.6 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 52.3 และ 55.9 มีสาเหตุจากต้นทุนราคาสินค้ารวมถึงราคาสินค้าเกษตรทั้งพืชไร่และพืชสวน
ดัชนีSMESI รายภูมิภาค เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ค่าดัชนี SMESI เกือบทุกภูมิภาคปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่ำกว่าที่คาด ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือเติบโตค่อนข้างใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าและภาคใต้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน รายละเอียด ดังนี้
ภาคเหนือ ค่าดัชนีอยู่ที่ 53.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 56.4 มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดรวมถึงฝุ่น PM2.5 เป็นปัจจัยหลักที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงกระทบต่อภาคการค้า อย่างไรก็ตามกลุ่มการผลิตยาและสมุนไพรยังขยายตัวดี เช่น เครื่องดื่มชาแปรรูป สมุนไพรสำหรับชง เป็นต้น
เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าดัชนีอยู่ที่ 52.7 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 55.1 เนื่องจากกำลังซื้อที่ชะลอลงจากกิจกรรมการท่องเที่ยวส่งผลกระทบโดยตรงกับยอดขายของธุรกิจภาคการค้าและภาคการบริการ โดยเฉพาะกับสินค้าคงทน ทั้งวัสดุก่อสร้าง ในขณะที่ภาคการผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากปัจจัยด้านต้นทุนเป็นสำคัญ และการเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับเทศกาลสงกรานต์
ภาคกลาง ค่าดัชนีอยู่ที่ 51.3 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.9 โดยภาคธุรกิจชะลอตัวลง ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเกษตรที่ยังปรับดีขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และภาคการผลิตในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม เสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์พลาสติก ในขณะที่ภาคการค้าและภาคการบริการชะลอตัวลงตามกำลังซื้อที่ปรับลดลง
ภาคตะวันออก ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 54.6 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 55.3 ผลจากภาคเศรษฐกิจชะลอตัวลงจากยอดขายในภาคบริการ เป็นหลัก รวมถึงผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่ปรับสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่ร้อนจัด ในขณะที่ภาคธุรกิจการเกษตร ภาคการค้า และภาคการผลิตยังขยายตัวได้ โดยเฉพาะการเร่งกำลังการผลิตเพื่อรองรับ คำสั่งซื้อในช่วงเวลาถัดไป เช่น ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 52.5 ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.6 ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่ทรงตัว โดยธุรกิจภาคการผลิต และภาคธุรกิจการเกษตรปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจการเกษตรที่มีกำไรเพิ่มขึ้นชัดเจน จากราคาขายสินค้าที่ปรับสูงขึ้นตามการเริ่มขาดแคลนของสินค้าในตลาด ในขณะที่ภาคการค้าและ
การบริการชะลอลงเล็กน้อย
ภาคใต้ ค่าดัชนีอยู่ที่ 53.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.5 เป็นผลดีมาจากต้นทุนราคาสินค้าที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากต้นทุนค่าขนส่ง ทำให้ราคาต้นทุนสินค้าหลายรายการในภาคใต้ปรับตัวดีขึ้นชัดเจนโดยเฉพาะภาคการผลิต ส่วนภาคการค้าและภาคการบริการยังได้ผลดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังอยู่ในระดับสูงทั้งมาเลเซีย รัสเซีย จีน เป็นต้น
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 53.2 มีแนวโน้มคงตัว โดยภาคเหนือ และภาคใต้ ดัชนีความเชื่อมั่นยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้จากธุรกิจภาคการท่องเที่ยวในขณะที่ภาคอื่น ๆ ระดับความเชื่อมั่นปรับลดลงจากค่าคาดการณ์ของเดือนก่อนเป็นผลจากกำลังซื้อและกำไรที่ชะลอตัวเป็นสำคัญตามทิศทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามปัจจัยด้านต้นทุนมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
นอกจากนี้ สสว. ได้ทำได้การสำรวจความต้องการของผู้ประกอบการ SME พบว่า ความช่วยเหลือที่ผู้ประกอบการ SME ต้องการมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาระหนี้สิน และเงินทุนทั้งในภาคหนี้สินครัวเรือน และภาคธุรกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ มาตรการพักชำระหนี้และการแก้ไขปัญหาหนี้เสีย เป็นต้น สำหรับ ความช่วยเหลือด้านต้นทุนคือต้องการให้ช่วยเหลือเรื่องการลดค่าสาธารณูปโภค การควบคุมราคาสินค้า/วัตถุดิบ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงรวมถึงในช่วงนี้ปัจจัยด้านกำลังซื้อที่เริ่มชะลอตัวลง ผู้ประกอบการ SME จึงต้องการให้ภาครัฐออกนโยบายหรือ มาตรการที่กระตุ้นการใช้จ่าย มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือการส่งเสริมการสร้างรายได้และอาชีพ เพื่อสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ SME ยังต้องการให้ภาครัฐช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจเพื่อผลักดัน ไปสู่การเปิดตลาดในต่างประเทศ
ทั้งนี้SME สามารถค้นหาบริการหรือความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานเอกชนหรือ สถาบันการเงินฯลฯได้ตามความเหมาะสมกับความต้องการประกอบธุรกิจของท่านได้ที่https://www.smeone.infoของสสว.หรือสามารถรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจผ่าน ApplicationSME CONNEXTหรือสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ให้บริการSME ครบวงจรโทร. 1301
......................................
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่:
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
นางสาวตวงพรสิงห์โตส่วนติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์
ฝ่ายวิเคราะห์สถานการณ์และเตือนภัยทางเศรษฐกิจ
โทร. 02 298 3003, 02 298 3210 E-mail: tuangporn@sme.go.th
นายเจริญไชยจารุกะกุลส่วนสื่อสารองค์กรฝ่ายอำนวยการ
โทร. 081 615 5450, 02 298 3201 E-mail : charoenchai@sme.go.th
###