ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย-จีน ไตรมาส 3/2567 ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า “มาตรการกระตุ้นให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น” อุตสาหกรรมที่คาดหวังว่ายังสามารถเติบโตต่อไปได้ดีในปี 2567 “อุตสาหกรรมภาคบริการ เช่น การท่องเที่ย

   นายณรงค์ศักดิ์  พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน  เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยจีนประจำไตรมาสที่สามปี 2567ระหว่างวันที่  20 ถึง 28มิถุนายนที่ผ่านมาโดยมีผู้ให้ข้อมูลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นฯ ประกอบด้วยสามกลุ่มคือ(1) ประธาน คณะกรรมการกิตติมศักดิ์คณะกรรมการบริหารและกรรมการหอการค้าไทยจีน (2) ประธาน และกรรมการสมาชิกสมาคมต่าง ๆ ของสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และ (3) กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน เป็นจำนวนทั้งหมด 431 คน

   ในภาพรวมการสำรวจครั้งนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและจีนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และความพร้อมของเศรษฐกิจไทยที่จะรองรับเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ

   กลุ่มหอการค้าไทยจีน กลุ่มสหพันธ์หอการค้าไทยจีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของหอการค้าไทยจีน มีความเห็นสอดคล้องกันว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสงครามทางการค้า เป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการทหาร และปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกและ ในภาพรวม มากถึงร้อยละ75ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งหมดมีความกังวลที่สุดจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่จะเป็นตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย

   ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง และทำให้ผู้ประกอบการในจีนมีสินค้าคงเหลือจำนวนมาก ทางออกหนึ่งคือ การส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกในราคาที่ถูกกว่าปกติ อาทิรถยนต์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าครัวเรือน จากที่ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจเป็นผู้ประกอบการ ร้อยละ 35.1 และ 27.6 มีความกังวลมาก และมีความกังวลบ้างตามลำดับ ของการที่สินค้าจีนจะเข้ามาตีตลาดไทยในขณะที่ปัญหาการกีดกันทางการค้าและสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้นผู้ให้ข้อมูลจำนวนร้อยละ52.1 คาดการณ์ว่าธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมาก ขณะที่ร้อยละ 28.1 ลงความเห็นว่า ธุรกิจของจีนจะมาค้าขายและย้ายฐานการผลิตกับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มมากที่สุด หากพิจารณา ความเห็นถึงการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศร้อยละ 33.9ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจมีความเห็นว่าควรลดการลงทุนในทุกๆตลาดจากสถานการณ์ในปัจจุบันขณะที่ ร้อยละ  33.4 มีความเห็นว่าอาเซียนน่าลงทุนมากที่สุด เมื่อเทียบกับจีนและสหรัฐอเมริกาทั้งนี้พอจะสรุปเป็นสังเขปได้ว่า บทบาทของจีนในอาเซียนน่าจะมีมากขึ้น และอาเซียนยังเป็นกลุ่มประเทศที่น่าลงทุนอยู่

   จากข้อคิดเห็นที่ว่าจีนให้ความสนใจลงทุนในอาเซียนนั้นและหากจีนจะขยายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยแล้วนั้น ไทยต้องมีความพร้อมทางด้านใด ผู้ให้ข้อมูลการสำรวจทั้งสามกลุ่มมีความเห็นตรงกัน ในความพร้อมสองประเด็น คือ(1) สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีเสถียรภาพ และ (2) กฎหมายที่อำนวยความสะดวกและโปร่งใส มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม มีอัตราการคอรับชั่นต่ำ และมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำ นั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่จะดึงดูดนักลงทุนชาวจีนมาวางฐานธุรกิจ และการลงทุนในประเทศไทยคำตอบที่เป็นลำดับรองลงมาคือ(3) ไทยต้องรักษาบทบาทความเป็นกลางเพื่อความสมดุลทางการเมืองระหว่างประเทศทั้งจีนและสหรัฐอเมริกาและ (4) การมีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้าและน้ำ และมีแรงงานที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพ

   ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ทั้งนี้ในระยะเวลาห้าเดือนแรกของปี 2567 อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องมาจากราคาของพลังงาน อาหารสดและสำเร็จรูป เครื่องดื่ม ค่าเดินทางและค่าเช่าบ้าน ร้อยละ47.9 ของผู้ให้ข้อมูลการสำรวจ คาดว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจนถึงสิ้นปีจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างเล็กน้อยแต่ร้อยละ 44.1 ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนอกจากปัญหาของเงินเฟ้อแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2567 มีกิจการที่ปิดตัวลงไปแล้วเกือบ 2,000 แห่ง และมีผลกระทบต่อจำนวนแรงงานมากกว่า 40,000 ตำแหน่งโดยมีอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสูงกล่าวคือเฟอร์นิเจอร์เครื่องนุ่งห่มการพิมพ์ชิ้นส่วนยานยนต์เครื่องหนังและรองเท้าเกษตรขั้นพื้นฐานและยางพาราผู้ให้ข้อมูลการสำรวจมีความเห็นสอดคล้องกันว่าคือ(1) อุตสาหกรรมภาคบริการ ที่ประกอบด้วยการท่องเที่ยวโรงแรมและอาหารและเครื่องดื่มและ (2) อุตสาหกรรมการเกษตรและเกษตรแปรรูปยังที่สามารถเติบโตต่อไปได้ดีในปี 2567

   ผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้มีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าโดยที่ได้มีการจัดเรียงลำดับความสำคัญดังต่อไปนี้มาตรการกระตุ้นให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ถูกเลือกมาเป็นอันดับแรกสุด ซึ่งมีอีกสี่มาตรการที่ให้ความสำคัญในระดับรองลงมาโดยทั้งสี่มาตรการที่มีน้ำหนักความสำคัญใกล้เคียงกัน กล่าวคือ (1) การสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ทันสมัยและหาตลาดใหม่เพื่อการส่งออก (2) เร่งลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนและสนับสนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง (3) เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐและ (4) เร่งฟื้นฟูภาคการเกษตรพร้อมกับส่งเสริมให้เกิดการผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่ม

  สำหรับการค้าระหว่างประเทศจีนและไทย ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 นี้ ขยายตัว 2.6% มีมูลค่า 65,032 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยนำเข้าจากจีน มูลค่า 41,423 ล้านเหรียญสหรัฐ  ขยายตัว 9.2%  ส่วนการส่งออกของไทยไปจีน มีมูลค่า 23,608 ล่านเหรียญสหรัฐ  หดตัว 7.2%  โดยประเทศไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับสามของจีนในอาเซียน  รองจากเวียดนาม อันดับ 1 และมาเลเซีย อันดับ 2  นายณรงค์ศักดิ์  กล่าว

###