ทดสอบ Hyundai IONIQ electric ยานยนต์ไฟฟ้า กระแสดี ที่มาแบบเต็มประสิทธิภาพ

   รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ว่าที่รถแห่งอนาคตในอีกไม่นานนี้ (ว่ากันว่านะ) ที่เริ่มมีให้เห็นกันในหลายๆค่าย ทั้งแบรนด์เล็กและแบรนด์ใหญ่ ก่อนจะพูดนอกเรื่องกันไปกว่านี้ เอาเป็นว่าวันนี้ทางทีมงาน Restmetalk ได้มีโอกาสไปทดลองขับเจ้า Hyundai IONIQ electric รถ EV ที่นำเข้ามาทั้งคันจากประเทศเกาหลี จะมีดียังไง...เดี๋ยวรู้กันครับ

   ทางทีมงานได้นัดหมายกับทาง Hyundai เจอะเจอกันที่ร้านอาหาร “ชวนคิทเช่น” ย่านเมืองทองธานี ไม่ต้องพูดกันเยอะครับ (ไม่ได้เจ็บคอนะ แต่อยากทดสอบเร็วๆ) สำหรับเส้นทางที่เราจะใช้ทดสอบในวันนี้ เราจะทดสอบกันบนทางด่วนอุดรรัถยา โดยขึ้นจากด่านฯ เมืองทองธานี ไปยังด่านฯ บางพูน แล้วย้อนกลับมาลงที่ด้านฯ เมืองทองอีกที มีระยะประมาณ 30 กิโลเมตร (ไม่เยอะมาก แต่ขอบอกได้ทดสอบทุกระบบครบถ้วน)

   ครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้า Hyundai IONIQ electric พูดได้ว่า “สวย ดูดี มีความสปอร์ตนิดๆ” เมื่อเข้าไปภายในแล้ว รู้สึกได้ถึงความล้ำสมัย เทคโนโลยีต่างๆที่มาให้ครบถ้วน จะขาดก็แค่ ระบบ Navigator กับ หน้าจอกลางขนาด 5 นิ้วที่รู้สึกเล็กไปนิดนะ การสตาร์ทเครื่องยนต์ใช้การกดปุ่ม Push Start ที่บริเวณด้านซ้ายของพวงมาลัย ระบบเกียร์เป็นแบบกดปุ่ม หรือ shift by wire ซึ่งตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง เมื่อเริ่มออกตัวความรู้สึกแรกคือ พวงมาลัยกระชับดี การควบคุมง่าย ทัศนะวิสัยชัดเจน คันเร่งและเบรกน้ำหนักกำลังดี (รถรุ่นนี้ไฟเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายนะครับ ครั้งแรกทีมงานก็ผิดไปเปิดที่ปัดน้ำฝนซะงั้น...เขิลเลย)

   หลังจากจ่ายค่าทางด่วนเสร็จ การทดสอบระบบต่างๆ จึงเริ่มขึ้น ทางทีมงานใช้โหมด Normal (รถรุ่นนี้มีการขับขี่ 3 รูปแบบคือ Eco, Normal และ Sport) ในโหมด Normal การเร่งแซงเป็นไปอย่างไม่หวือหวามากนัก การแซงในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรเรียกได้ว่า “สบายใจได้” อ๋อ...ลืมบอกไป เจ้า Hyundai IONIQ electric มีระบบ Regenerative braking system เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ที่สามารถควบคุมได้ด้วยปุ่ม Paddle shift บริเวณด้านหลังพวงมาลัยมีทั้งหมด 4 ระดับ โดยแต่ละระดับจะเป็นการนำพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่จากมากไปน้อย ช่วยให้มีระยะทางการวิ่งที่ยาวขึ้น และยังช่วยในเรื่อง Engine brake ทำให้ขับได้สนุกมากขึ้นอีกด้วย

   ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ทำงานได้เป็นอย่างดี ให้ความรู้สึกนุ่มนวล มั่นใจ ระบบความปลอดภัยต่างๆทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Blind Spot Detection ที่จะทำหน้าที่ตรวจจับรถในจุดอับสายตาขณะขับขี่ โดยทำงานควบคู่กันกับระบบ Lane Change Assist ที่จะช่วยตรวจจับรถในเลนด้านข้างในขณะที่ผู้ขับขี่กำลังจะเปลี่ยนเลน นอกจากนี้ยังมีระบบ Lane Departure Warning โดยระบบ จะใช้กล้องที่อยู่บริเวณด้านบนตรงกลางของกระจกหน้า ในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องการจราจร หากรถกำลังเคลื่อนออกจากช่องจราจร ระบบจะส่งเสียงเพื่อเตือนผู้ขับขี่ ให้นำรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิม และระบบ Lane Keeping Assist ที่ใช้กล้องตัวเดียวกัน ในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องการจราจร เมื่อรถกำลังเคลื่อนออกจากช่องจราจร ระบบจะสั่งการให้หักพวงมาลัยกลับมาในช่องจราจร

   และอีกระบบที่เรียกได้ว่าเป็นพระเอกเลยทีเดียว นั้นก็คือระบบ Smart Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ โดยระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ที่อยู่บริเวณกระจังหน้า ในการรักษาระดับความเร็วแบบแปรผัน ตามความเร็วของรถที่อยู่ด้านหน้า และผู้ขับขี่ ยังเลือกระดับการรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้าได้อีกด้วย ในการทดสอบนี้ทีมงานขับรถตามรถคันหน้าในระยะประมาณ 30 – 40 เมตรแล้วกดปุ่ม Smart Cruise Control ที่พวงมาลัย หน้าจอจะแสดงผลให้เห็นโดยทันที จากนั้นทีมงานก็ตั้งความเร็วไว้ที่ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงที่พวงมาลัย (ระบบจะรักษาความเร็วตามรถคันหน้าแต่จะไม่เกิน  120 กิโลเมตร/ชั่วโมงตามที่ตั้งไว้) ซึ่งระยะห่างระหว่างตัวรถก็สามารถตั้งได้ มีทั้งหมด 4 ระดับจากที่พวงมาลัยอีกเช่นกัน จากนั้นก็ยกเท้าขวาออกจากคันเร่งและเบรกได้เลยครับ (แต่ยังต้องจับพวงมาลัยบังคับทิศทางอยู่นะครับ) แรกๆก็อาจจะไม่คุ้น แต่บอกได้เลยครับถ้าคุ้นแล้วสบายมากจริงๆ ไม่ว่ารถคันหน้าจะเร่ง เบรก เจ้า Hyundai IONIQ electric ก็จะทำตามทั้งหมด ได้ถึงขนาดรถคันหน้าเบรกจนหยุดเจ้า Hyundai IONIQ electric ก็หยุดตามในระยะห่างที่เรากำหนดด้วย...เออ เอาซี้!!! หรือถึงแม้จะมีรถเข้ามาแทรกก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะเจ้า Hyundai IONIQ electric ก็จะจับความเร็วของรถคันใหม่แทน และคำนวณระยะห่างให้ตามที่เราตั้งไว้ (ฉลาดไปไหม 555)

   ขากลับทางทีมงานได้ทดลองเปลี่ยนโหมดการขับเป็นโหมด Sport หน้าปัดจะถูกเปลี่ยนจากมาตรวัดความเร็ว เป็นมาตรวัดแสดงสถานะกำลังการขับเคลื่อนของรถจาก 0 ถึง 100 เปอร์เซนต์ ในรูปแบบอนาล็อกพร้อมแถบสีแดง ตรงกลางจะแสดงความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอล (ในโหมด Eco หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก และแถบสีเขียวบริเวณตัวเลขความเร็ว พร้อมไฟแสดงสถานะโหมด Eco สีเขียว ในโหมดNormal หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก แต่จากแถบสีเขียวในโหมด Eco จะถูกเปลี่ยนเป็นแถบสีเทา และไม่มีไฟแสดงสถานะโหมด Normal) รู้สึกได้ถึงอัตราเร่งแซงที่แต่งต่างจากโหมด Eco แบบรู้สึกได้ ยิ่งถ้าคุ้นเคยกับระบบ Regenerative braking system ที่ให้ความรู้สึกเหมือนการ “เชนเกียร์”  ที่ควบคุมด้วย Paddle shift บริเวณหลังพวงมาลัยแล้วล่ะก็ พูดได้ว่าเป็นรถ EV ที่ขับได้สนุกทีเดียว ด้วยค่าตัว 1,749,00 บาท กับเทคโนโลยี ประสิทธิภาพ และระบบความปลอดภัยแล้ว ทุกคนในทีมงานพูดเหมือนกันเลยว่า “คุ้มมากๆ” อาจจะไม่ใช่รถคันแรกที่ซื้อใช้ แต่ทางทีมงานเชื่อได้เลยว่า เป็นรถคันที่สองสำหรับครอบครัวได้อย่างแน่นอนครับ

###

 

รายละเอียด Hyundai IONIQ electric (อย่างละเอียด)

   ฮุนได ไอออนิก ภายนอกได้รับการออกแบบโดยเน้นที่ปัจจัยหลัก 2 อย่าง คือ เทคโนโลยี และประสิทธิภาพ ทำให้มีบุคลิกของความเป็นรถยนต์แห่งอนาคต รูปทรงตัวรถเป็นแบบรถแฮ็ทช์แบ็กทรงสปอร์ต มาพร้อมเส้นสายที่พลิ้วไหว รวมถึงการออกแบบตัวถังส่วนต่างๆเช่น ช่องดักลมที่ล้อคู่หน้า, สปอยเลอร์ด้านหลัง, ดิฟฟิวเซอร์ ชายล่างประตูทั้งสี่บาน แผ่นปิดใต้ท้องรถ รวมถึงล้ออัลลอย ทั้งหมดนี้ทำให้อากาศสามารถไหลผ่านตัวรถได้อย่างสะดวกและลื่นไหลตามหลักอากาศพลศาสตร์  ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำเพียง 0.24

   กระจังหน้าถูกออกแบบในลักษณะปิดทึบเนื่องจากไม่ต้องใช้งานเพื่อการระบายความร้อนเครื่องยนต์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความพลิ้วไหว และสะอาดตา ด้วยสีเทาเข้ม ไฟส่องสว่างขณะขับขี่เวลากลางวัน ไฟหน้าและไฟท้ายเป็นแบบ LED บริเวณชายกันชนด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งชายประตูทั้ง 4 บาน ถูกตกแต่งด้วยสีทองแดง ที่สื่อถึงความเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

   ภายในถูกออกแบบโดยเน้นถึงความเป็นรถแห่งอนาคต ด้วยแนวคิด ‘Purified High-Tech’ ที่เน้นถึงความเรียบง่าย ลื่นไหล แต่มีความปราณีต และใช้งานง่าย เน้นการใช้วัสดุที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่น้อยที่สุด มีผิวสัมผัสที่เรียบ ลื่น และให้ความรู้สึกสะอาดบริสุทธิ์ วัสดุภายใน เลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ผ้าหลังคาและพรมที่มีส่วนผสมจากต้นอ้อย เพื่อช่วยให้อากาศภายในห้องโดยสาร มีความบริสุทธิ์, สีพ่นตัวถังที่มีส่วนผสมของน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อให้มีประกายของเม็ดสีที่สวยงาม, แผงประตูที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล ผสมกับผงไม้และหินจากภูเขาไฟ แต่ยังคงไว้ซึ่งความแข็งแรงและคุณภาพที่ดี นอกจากนี้ บริเวณช่องแอร์, คอนโซลกลาง, พวงมาลัย และเบาะนั่ง ถูกตกแต่งด้วยสีส้มทองแดง ซึ่งเป็นสีที่เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในรถยนต์ ได้แรงบันดาลใจจากทองแดงที่อยู่ในคอนดักเตอร์ของระบบไฟฟ้า

   เมื่อผู้ขับขี่ปลดล็อกรถด้วยระบบ Smart Entry ระบบ Welcome Function จะทำงาน ด้วยการสั่งให้ไฟหน้าและไฟท้ายส่องสว่าง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยขณะจอดรถในที่มืดหรือยามค่ำคืน และเมื่อผู้ขับขี่เปิดประตูรถ เบาะที่นั่งคนขับ จะปรับเลื่อนถอยหลังอัตโนมัติ เพื่อให้เข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย เบาะที่นั่งคนขับ ปรับได้ด้วยระบบไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังแบบไฟฟ้า (Lumbar Support) ช่วยลดอาการเมื่อยล้าขณะขับขี่ นอกจากนี้ ยังมีระบบระบายอากาศสำหรับเบาะคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้าอีกด้วย

   ภายในห้องโดยสาร มีความกว้างขวางและสะดวกสบาย โดยเฉพาะที่นั่งของผู้โดยสารตอนหน้า ซึ่งมีความโปร่งและกว้างขวางเป็นพิเศษ เนื่องจากระบบเกียร์ ถูกออกแบบให้เป็นแบบระบบปุ่มกด หรือ shift by wire ซึ่งถูกติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลางซึ่งผู้ขับขี่ นอกจากนี้ยังมีระบบเบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Hold ที่ช่วยหยุดรถชั่วขณะในสภาพการจราจรติดขัด และระบบ wireless charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรีโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ เพียงวางโทรศัพท์บริเวณช่องชาร์จด้านซ้ายของปุ่มเลือกตำแหน่งเกียร์

   ระบบความบันเทิง สามารถควบคุมได้ผ่านหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 5 นิ้ว ที่สามารถเลือกฟังก์ชันเพื่อความบันเทิงได้ตามต้องการ เช่น ระบบวิทยุ พร้อมระบบเชื่อมต่อบลูทูธ, ช่องต่อระบบ USB และ AUX

   หน้าปัดแสดงการทำงานของระบบต่างๆบริเวณคนขับ เป็นหน้าปัดความละเอียดสูงขนาด 7 นิ้ว แบบ TFT ที่แสดงข้อมูลพื้นฐานต่างๆของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ระยะทางที่สามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง, ระดับพลังงานของแบตเตอรี่ รวมถึงข้อมูลอื่นๆของตัวรถที่จำเป็น ซึ่งผู้ขับขี่ สามารถเลือกดูได้ผ่านปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย

   หน้าปัดนี้ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลได้ ตามรูปแบบการขับขี่ โดยผู้ขับขี่ สามารถเลือกรูปแบบการขับขี่ได้ ผ่านปุ่ม ‘drive mode’ บริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport

   ในโหมด Eco หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก เช่นเดียวกับมาตรวัดความเร็วแบบรถยนต์ปกติและแถบสีเขียวบริเวณตัวเลขความเร็ว พร้อมไฟแสดงสถานะโหมด Eco สีเขียว

   ในโหมดNormal หน้าปัดจะแสดงมาตรวัดความเร็วในรูปแบบอนาล็อก เช่นเดียวกับมาตรวัดความเร็วแบบรถยนต์ปกติ จากแถบสีเขียวในโหมด Eco จะถูกเปลี่ยนเป็นแถบสีเทา และไม่มีไฟแสดงสถานะโหมด Normal

   ในโหมด Sport หน้าปัดจะถูกเปลี่ยนจากมาตรวัดความเร็ว เป็นมาตรวัดแสดงสถานะกำลังการขับเคลื่อนของรถจาก 0 ถึง 100 เปอร์เซนต์ ในรูปแบบอนาล็อกพร้อมแถบสีแดง ตรงกลางจะแสดงความเร็วแบบตัวเลขดิจิตอลที่จะถูกไล่ลำดับขึ้นไปตามความเร็วของรถยนต์

   ระบบปรับอากาศภายในรถยนต์เป็นแบบ Dual Zone ที่เลือกปรับอุณหภูมิแยกอิสระสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบาย ควบคู่กับการลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น ฮุนได ไอออนิก อิเล็กทริก ยังมีระบบปรับอากาศที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกให้ลม ออกจากช่องปรับอากาศเฉพาะผู้ขับขี่อย่างเดียวได้ เพียงกดปุ่ม ‘driver only’ ที่บริเวณแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศเท่านี้ ก็จะช่วยลดภาระการทำงานของระบบปรับอากาศ และช่วยประหยัดพลังงานได้อีกด้วย

   สำหรับระบบขับเคลื่อนของ ฮุนได ไอออนิก อิเล็กทริกนั้น เป็นการขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดซิงโครนัสแม่เหล็กถาวรที่ให้พละกำลังสูงสุด120 แรงม้า (88kW) แรงบิดสูงสุด 295 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อผ่านระบบเกียร์แบบ single-speed ที่สามารถเลือกตำแหน่งเกียร์ผ่านปุ่มกดบริเวณคอนโซลกลาง และสามารถพารถยนต์ไปที่ความเร็วสูงสุดที่ 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง

   แบตเตอรี่ที่ใช้สำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนนั้น เป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน โพลิเมอร์ ซึ่งมีประสิทธิภาพการชาร์จไฟที่ดี และมีหน่วยความจำรอบการชาร์จไฟที่น้อยกว่า เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แบบนิกเกิล เมทัล ไฮดราย สำหรับในฮุนได ไอออนิก อิเล็กทริกนั้น เป็นแบตเตอรี่ขนาด 28 kWh ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดที่ 280 กิโลเมตร ใช้เวลาในการชาร์จไฟแบบปกติอยู่ที่ 4 ชั่วโมง 25 นาที โดยประมาณ และการชาร์จไฟแบบ quick charge ที่กำลังการชาร์จไฟขนาด 50 kW จะใช้เวลา30 นาทีและ 23 นาทีโดยประมาณ ด้วยกำลังการชาร์จไฟขนาด 100 kW โดยแบตเตอรี่นี้ ถูกติดตั้งอยู่ใต้ที่นั่งของผู้โดยสารตอนหลัง แต่ยังคงไว้ซึ่งพื้นที่ที่สามารถบรรจุสัมภาระได้สูงสุดถึง 650 ลิตร

   รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ไอออนิค มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดกับระบบ regenerative braking system ที่สามารถควบคุมได้ด้วยปุ่ม paddle shift บริเวณด้านหลังพวงมาลัยมีทั้งหมด 4 ระดับ โดยแต่ละระดับ จะเป็นระดับการนำพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่จากมากไปน้อย เพียงผู้ขับขี่กดปุ่ม paddle shift รถยนต์จะลดความเร็วโดยอัตโนมัติ ระบบเบรกจะทำงานเพื่อให้ระบบ regenerative brakingsystem ทำงาน และนำกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อช่วยให้มีระยะทางการวิ่งที่ยาวขึ้น

   ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ผลิตจากอลูมิเนียม ช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีมถูกปรับแต่งเพื่อให้มีการขับขี่ที่นุ่มนวล มั่นใจ และสะดวกสบาย

   ฮุนได ไอออนิก อิเล็กทริก ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยที่ช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ปลอดภัยในทุกการเดินทาง ด้วยระบบ Blind Spot Detection ที่จะทำหน้าที่ตรวจจับรถในจุดอับสายตาขณะขับขี่ โดยทำงานควบคู่กันกับระบบ Lane Change Assist ที่จะช่วยตรวจจับรถในเลนด้านข้างในขณะที่ผู้ขับขี่กำลังจะเปลี่ยนเลน และยังทำงานร่วมกับระบบ Rear Cross Traffic Alert ในขณะที่ผู้ขับขี่กำลังจะถอยรถออกจากที่จอดรถ ระบบจะตรวจจับความเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือคนเดินเท้า หากมีวัตถุเคลื่อนไหวบริเวณด้านหลังรถ ระบบจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่ เพื่อความปลอดภัยขณะถอยรถ

   นอกจากนี้ ยังมีระบบ Lane Departure Warning (LDW) โดยระบบ จะใช้กล้องที่อยู่บริเวณด้านบนตรงกลางของกระจกบังลมหน้า ในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องการจราจร หากรถกำลังเคลื่อนออกจากช่องจราจร ระบบจะส่งเสียงเพื่อเตือนผู้ขับขี่ ให้นำรถกลับเข้าสู่ช่องจราจรเดิมระบบ Lane Keeping Assist (LKA) ที่ใช้กล้องตัวเดียวกัน ในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องการจราจร เมื่อรถกำลังเคลื่อนออกจากช่องจราจร ระบบจะสั่งการให้หักพวงมาลัยกลับมาในช่องจราจร และระบบ Smart Cruise Control (SCC)หรือระบบควบคุมความเร็วอัจฉริยะ โดยระบบจะทำงานโดยใช้เรดาร์ที่อยู่บริเวณโลโก้บนกระจังหน้า ในการรักษาระดับความเร็วแบบแปรผัน ตามความเร็วของรถที่อยู่ด้านหน้า และผู้ขับขี่ ยังเลือกระดับการรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้าได้อีกด้วยเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยขณะขับขี่

   ระบบ Forward Collision Warning(FCW)ที่ช่วยเตือนผู้ขับขี่ หากผู้ขับขี่ ขับรถเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป และถ้าระบบตรวจพบว่าผู้ขับขี่ ไม่เหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ ระบบจะส่งเสียงเพื่อเตือนผู้ขับขี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่หยุดรถก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ และระบบ Autonomous Emergency Braking System (AEB) ที่จะช่วยเบรกรถอัตโนมัติ ในกรณีที่ผู้ขับขี่ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองในขณะที่รถกำลังเข้าใกล้รถคันข้างหน้า หรือในกรณีที่คนเดินถนนเดินตัดผ่านหน้ารถในระยะกระชั้นชิด กล้องบริเวณด้านบนกระจกบังลมหน้า และเรดาร์บริเวณกระจังหน้า จะทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุและคนเดินถนน และจะสั่งการให้รถหยุดโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ

ราคาจำหน่าย ฮุนได ไอออนิค อิเล็กทริก ที่ 1,749,000 บาท