แลนด์โรเวอร์เปิดตัวRange Rover Evoque Lafayette Edition รุ่นพิเศษ มีจำกัดเพียง 3 คันในประเทศไทยด้วยระบบปลั๊กอินไฮบริด P300e

บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยเปิดตัวรถยนต์ Range Rover Evoque Lafayette Edition(เรนจ์ โรเวอร์ อีโวคลาฟาแยตต์อิดิชั่น)ครั้งแรกในประเทศไทยกับรุ่นพิเศษแบบ Limited Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากย่านที่ทันสมัยในนิวยอร์กซิตี้มีจำกัดเพียง 3 คันด้วยราคาจำหน่าย 4,199,000บาทพร้อม Land Rover Care นาน 5 ปี ประกอบด้วย การรับประกันคุณภาพ บริการบำรุงรักษาตามระยะ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 ปี

ปัจจุบันรุ่นที่จำหน่ายในประเทศไทย ประกอบด้วย:

Range Rover Evoque Plug-In Hybrid SE Plus                                      ราคาจำหน่าย 3,999,000 บาท

Range Rover Evoque Plug-In Hybrid Lafayette Edition     ราคาจำหน่าย 4,199,000 บาท

Range Rover Evoque Plug-In Hybrid R-Dynamic SE Plus                ราคาจำหน่าย 4,499,000 บาท

 

   Range Rover Evoque Lafayette Editionพัฒนามาจาก Range Rover Evoque S (เรนจ์ โรเวอร์ อีโวคเอส)โดยรุ่นพิเศษนี้มีการออกแบบที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ภายนอกโดดเด่นด้วยหลังคาคอนทราสต์สี Nolita Grey เสริมความสวยงามน่าดึงดูดด้วยล้อแบบ 5 ก้าน ขนาด 20 นิ้วภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุพรีเมียมบุลายสไตล์ DiamondCut เพิ่มความสนุกสนานด้วยTread Plates แบบเรืองแสง เทคโนโลยีความบันเทิง Pivi Pro หน้าจอสัมผัสขนาด 10 นิ้ว และหลังคา Fixed Panoramic Roofวางจำหน่ายในระบบปลั๊กอินไฮบริด (Plug-In Hybrid)P300eพร้อมตราสัญลักษณ์ท้ายรถ

 

   Range Rover Evoque P300e เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด(PHEV) พัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มแบบ Premium Transverse Architecture อันล้ำสมัยของ Land Rover ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้พลังงานไฟฟ้าในขณะที่ยังคงความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดอันเป็นเอกลักษณ์ของ Land Roverมอบสมรรถนะที่ยั่งยืนด้วยการรวมเครื่องยนต์เบนซิน Ingenium แบบ 3 สูบ 200 แรงม้า (147 กิโลวัตต์) ขนาด 1.5 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 109 แรงม้า (80 กิโลวัตต์) ที่รวมอยู่ในเพลาท้ายและใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 15 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งอยู่ใต้เบาะหลัง สมรรถนะและขีดความสามารถที่เหนือชั้นด้วยอัตราเร่ง 0-100กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 6.4 วินาทีระบบเกียร์อัตโนมัติ 8สปีดใหม่ที่นุ่มนวลได้รับการคัดสรรเพื่อให้ทำงานควบคู่กับการส่งกำลังและแรงบิดของเครื่องยนต์ 3 สูบ และทำงานร่วมกับ ERAD ได้อย่างราบรื่น มอบความสมบูรณ์แบบและความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์ที่ดีสามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าทั้งหมดได้ไกลถึง 55 กิโลเมตร* ซึ่งเพียงพอสำหรับการเดินทางเฉลี่ยต่อวันโดยไม่ต้องชาร์จไฟฟ้าใหม่

ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้จาก 3 โหมดเพื่อให้เหมาะกับความต้องการมากที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหรือขับขี่บนทางหลวง

  1. โหมดไฮบริด (โหมดการขับขี่ตามค่าเริ่มต้น) รวมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินโดยอัตโนมัติ กลยุทธ์การทำงานปรับให้เข้ากับสภาพการขับขี่และประจุไฟฟ้าที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ การเข้าสู่จุดหมายปลายทางในระบบนำทางช่วยให้ฟังก์ชัน Predictive Energy Optimization (PEO) ผสานรวมเส้นทางและข้อมูล GPS อย่างชาญฉลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายสูงสุดสำหรับการเดินทางที่เลือก
  2. โหมด EV (รถยนต์ไฟฟ้า)ช่วยให้รถทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวโดยใช้พลังงานที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ เพื่อการเดินทางที่เงียบและไม่มีการปล่อยไอเสีย
  3. โหมดประหยัด จัดลำดับความสำคัญของเครื่องยนต์สันดาปให้เป็นแหล่งพลังงานหลักโดยรักษาสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เลือก

   การชาร์จไฟฟ้าจาก 0-80 เปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียง 30 นาที เมื่อชาร์จไฟฟ้าจากสถานีชาร์จทั่วไปที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง 32 กิโลวัตต์ หรือใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 24 นาที เมื่อใช้ตู้ชาร์จติดผนังที่ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ 7 กิโลวัตต์**

 

*ตัวเลขระยะทางที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าคำนวณจากการทดสอบที่ดีที่สุดตามกระบวนการ WLTP ของผู้ผลิตอย่างเป็นทางการตามกฎหมายของสหภาพยุโรป เพื่อการเปรียบเทียบเท่านั้น ตัวเลขความเป็นจริงอาจแตกต่างกัน

**สามารถชาร์จได้ด้วยเครื่องชาร์จแบบเร็วที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง 50 กิโลวัตต์ และ 100 กิโลวัตต์ (ประจุไฟฟ้าจริงที่เข้ารถจะจำกัดอยู่ที่ 32 กิโลวัตต์)  เวลาในการชาร์จจริงอาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมและการติดตั้งเครื่องชาร์จ

###